วันพฤหัสบดีที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

โดนตัดไฟ (ภาคจบ)

วันนี้ก็โทรไปตามเรื่องอีกครั้ง... ด้วยความเสียวว่าจะโดนตัดไฟอีกรอบ เจ้าหน้าที่คนใหม่มาตามเรื่องให้... คุยกันเกืิอบยี่สิบนาที.... แฟกซ์เอกสารไปมา...

สุดท้าย... ความผิดเราเอง ที่จ่ายค่าไฟไปด้วย Reference number ผิดเดือน (จ่ายผ่านเน็ตน่ะครับ) คือเอา Ref.No. ของเดือนที่แล้วใส่ไปให้... ก็โอเค... ยอมรับว่าเป็นความผิดของเราเองที่ไม่รอบคอบ แต่เจ้าหน้าที่ที่เราคุยด้วย เค้าก็ทำอะไรไม่ได้นะ ประมาณว่า เป็นช่างไฟ ต้องให้เราโทรไปเคลียร์กับแผนกการเงินเอาเอง...

ไม่เป็นไรครับ... งานนี้เราผิดเอง ก็... โทรไป...

"สวัสดีค่ะ..."
"สวัสดีครับ.. คุณ .... ใช่มั้ยครับ"
"ค่ะ"
"มีเรื่องรบกวนครับ คือผมจ่ายค่าไฟโดยใช้ Reference Number ผิดเดือนน่ะครับ คือใส่ของเดือนก่อนน่ะครับ" ... ในใจคิดว่า ควรจะโอเคแล้ว เพราะเจ้าหน้าที่คนก่อนบอกว่าจะเอาเอกสารมาให้ แล้วจะคุยเปิดเรื่องให้ก่อน

"ค่ะ...แล้วไงคะ" ... อ้าว.. กรรม... หรือว่าหน่วยงานมันใหญ่ เลยยังมาไม่ถึง.. ไม่เป็นไรน่ะ...

"ก็... จ่ายผ่าน internet น่ะครับ แล้ว พอใส่เลข Reference ผิดเดือน ก็เลยเกิดความผิดพลาด ผมเลยถูกตัดไฟน่ะครับ"

"ค่ะ... แล้วไงคะ" ... เว้ย... กรรมซ้ำสอง ... เค้าฟังอยู่รึเปล่าน้า... หรือว่ากินส้มตำอยู่...

"ก็.. ช่วยรบกวนเคลียร์ให้หน่อยน่ะครับ ผมเช็คกับทางธนาคารแล้ว เงินมาถึงการไฟฟ้าแล้ว"

"ค่ะ.... คือ คุณชำระเงินเกินใช่มั้ยคะ" .... ใช่รึเปล่าฟระ...

"ก็... คงใช่มั้่งครับ เพราะใส่เลขเดือนก่อนไป แล้วมันจ่ายซ้ำสองหน"

"ค่ะ... แล้วไงคะ".... แว๊กกกกกก ไอ้เราว่าจะมาคุยแบบใจเย็นๆ เจอแบบนี้ เย็นด้วยไม่ไหวแล้วเฟร้ย...

"ก็ช่วยเคลียร์ให้หน่อยครับ เพราะเงินมันถึงการไฟฟ้าไปนานแล้ว"

"อ๋อ.... คุยกับคุณ xxx แล้วน่ะค่ะ ..." อ้าวเฮ้ย... คุยแล้วทำไมต้องให้ตรูอธิบายฟระเนี่ย "... คุณต้องมาทำเรื่องขอเงินคืนด้วยตัวเองนะคะ"

คุยกัน... ไปซักพักนึง... อยุ่ดีๆ เจ๊แกก็ถึงบางอ้อขึ้นมา

"อ๋อ... แบบนี้เค้าไม่เรียกว่าชำระเกิินนะคะ เค้าเรียกว่าใส่เลขอ้างอิงผิด ต้องเรียกให้ถูกต้องนะคะ"...

เอาเว้ย... ความผิดตูอีก แล้วนี่ไม่ได้บอกรึไงครับว่าผมใส่เลขผิดเป็นเดือนก่อนเนี่ย ...

...เงียบไปพักใหญ่ ... ไอ้เราก็รอประมาณว่าเค้าจะพูดอะไรต่อ... สุดท้าย เราเองที่ทนไม่ไหว

"แล้วผมต้องทำอะไรบ้างครับ"
"ก็... มาที่นี่ หรือว่า จะให้ทางดิฉันทำเรื่อง xxx xxxxx xxx xxxx ให้มั้ยล่ะคะ เอาอย่างนั้นมั้ย" ... โห ยอมรับว่าจำไม่ได้ครับว่า เค้าพูดว่าอะไร แต่รางๆ พอจะเดาได้ว่า ให้ทางเค้าจัดการให้เสร็จเลยแบบไม่ต้องไปเอง...

"แปลว่าผมไม่ต้องไปเองใช่มั้ยครับ..."
"ค่ะ... จะเอามั้ยคะ" เฮ้อ.... ไม่เอาได้ไงล่ะเนี่ย แต่ที่งงคือ ทำไมต้องถามเราด้วยกับเรื่องแบบนี้ ถ้าเคลียร์ให้ลูกค้าได้เอง ก็น่าจะเป็น choice ที่ make sense อยู่แล้ว ... หรือว่ามี extra payment

"แล้วผมต้องจ่ายอะไรเพิ่มมั้ยครับ"
"ไม่ต้องค่ะ" ....

เฮ้อ.... please do เลยครับพี่น้อง... เหนื่อยกับการคุยแล้วอ่ะ... สุดท้าย เสียเวลาติดต่อทั้งหมดไปเกือบสี่สิบห้านาที... เหมือนกับไปวิ่งเรื่องให้เค้าเองเลย...

กรี๊งๆๆๆ
ยัง...วางหูไปแล้ว มีโทรกลับมาหลอนอีกรอบ...

"คราวหลังขอความร่วมมือใส่ให้ถูกต้องด้วยนะคะ... "

จ๊ากกกกก รู้แล้วครับ ผิดทีเดียวก็เข็ดแล้ว กว่าจะตามเรื่องได้ ... แทบบ้า นี่ยังสงสัยไม่หายว่าทำไมที่โทรไปเช็คตั้งแต่ได้ใบเตือนน่ะ เค้าถึงบอกว่าเรียบร้อยแล้ว....

วางหูไปได้อีกสองนาที...
.....

กริ๊งงงๆๆๆ ... จ๊ากกกกก (อีกที) ... จะหลอนอะไรช้านอีก....

"ครับ.." (ไปผุดไปเกิดซะเถอะโยม...อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย...)

"ลืมบอกไปว่า คราวหลังไม่ต้องหวังดีจ่ายเกินมานะคะ บิล เป็นเศษสตางค์ .23 ก็ไม่ต้องจ่ายเป็น 25 สตางค์นะคะ จ่ายให้เป๊ะๆ นะคะ"

อืม... กรรม... จ่ายเกินก็ผิด ถ้าตรูจ่ายขาดไปซักสตางค์นี่จะโดนยึดหม้อแปลงมั้ยเนี่ย...

....

พอจบเรื่อง ก็มานั่งคิดดู ว่า... เราเซ็งอะไร โมโหอะไร... คาดหวังอะไร จากการติตต่ิอครั้งนี้...

ไม่ได้คาดหวังให้เค้าเปลี่ยนแปลงระบบการทำงาน...

ไม่ได้คาดหวังให้เค้าต้องพูดจาเพราะพริ้ง... เหมือน operator บริษัทเอกชนทั่วไป...

ไม่ได้คาดหวังว่าต้องเจอกับพนักงานเสียงหวาน ...

ขอแค่... ได้เจอกับคนทำงาน ที่ตั้งใจจะ service เราด้วยการ solve ปัญหา แบบมืออาชีพหน่อยก็พอ... ถามไถ่ตรงประเด็น แก้ปัญหาตรงจุด ไม่โยนไปโยนมา... สุดท้าย ผู้ใช้บริการอย่างเราก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไร.... ไม่รู้แม้แต่ว่า... ที่เค้าให้บริการเราคราวนี้เรียบร้อยจริงมั้ย.... อ้อ... ไม่รู้กระทั่งว่าคุยกับใครด้วย ต้องถามชื่อทุกคนเลย ไม่ถามก็ไม่บอก (บอกแต่ให้โทรกลับมา แล้วจะติดต่อใครละนี่)

หรืออย่างน้อยๆ ที่สุด.... ที่คาดหวัง... คือ... ความใส่ใจ... ที่ควรจะมี... ในการแก้ไขปัญหาใหู้ลูกค้า.... เสียง
คำว่า "แล้วยังไงคะ..." ยังคงก้องอยู่ในหัว

อดถามตัวเองไม่ได้ว่า... นี่เราขอมากไปรึเปล่า... หรือเป็นเราเองที่เรื่องมาก... เคยชิน ยึดติดอยู่กับระบบทุนนิยม ที่มีการแข่งขันกันอย่างมากมายในงานบริการ...

ก็ไม่รู้เหมือนกัน....

วันพุธที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

โดนตัดไฟ...

ขออัพบล็อกแบบไร้สาระซักวัน...

ประมาณว่าโดนตัดไฟครับ.... ความจริงแล้วจ่ายไปตั้งแต่วันที่ 2 พฤษภา วันนี้ 23 พฤษภา ... กลับมาถึงห้อง... ทำไมเปิดไฟแล้วมันมืดๆ หว่า...

เรื่องของเรื่องเนี่ย อาทิตย์ก่อนการไฟฟ้ามีใบแจ้งเตือนมาแล้วว่าเราไม่ได้จ่ายค่าไฟ... ก็งงๆ อะนะ แต่ก็โทรกลับไปสอบถาม ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่เช็คแล้วบอกว่าขอโทษด้วย จ่ายเรียบร้อยแล้ว เป็นความผิดพลาด ไม่ต้องทำอะไร...

พอมาวันนี้...โดนตัดไฟ พร้อมใบแจ้งตัดไฟใบนึง (ดีที่มีใบแจ้งตัดไฟนะเนี่ย ไม่งั้นไม่รู้โทรไปแจ้งใครดี)

โทรไปแจ้งกับทางการไฟฟ้า ... เหนื่อยมาก... กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง คือเค้าก็พยายามจะบอกว่า อาจจะเป็น ไอ้โน่น ไอ้นี่ ... อาจจะเงินตกค้างบ้างละ เกิดความผิดพลาดของระบบบ้างล่ะ...

แล้วก็หยุด... ประมาณว่าคิดว่าเรา "ok" กับคำตอบนั้นแล้ว.... รึไง... แต่มันไม่ใช่ เพราะคำตอบที่เราอยากได้คือ ข้อเท็จจริง ไม่ใช่การคาดคะเน... เลยไล่จี้เอาจนเค้าต้องรับปากว่าจะประสานงานให้ว่าเกิดอะไรขึ้น... แล้วค่อยติดต่อกันอีกทีพรุ่งนี้ เอาน่ะ... ถึงจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เรื่องมันเงียบหายไปเลยเหมือนตอนแรกที่เค้าอยากจะให้เป็น... คือไ่ม่บอก action ที่เราจะต้องทำมาเลยอ่ะ... เลยแอบเสียวๆ ว่า ถ้าไม่จี้เนี่ย พรุ่งนี้มันจะตัดตรูอีกรอบป่าววะ

วางสายไป ไฟก็มาแล้วนี่ เลยเตรียมเอกสารยืนยัน ใบเสร็จการจ่ายเงิน พร้อมกับโทรไปเช็คกับทางธนาคารว่า ทุกอย่างเรียบร้อยจริงๆ เงินโอนแล้วจริง ....

อยากจะบอกว่า call center น่ารักมากครับ ช่วยให้บริการแบบเร็วทันใจ และข้อมูลพร้อมจริงๆ ธ.กสิกร...

สรุปว่า ทางธนาคารเรียบร้อย พร้อมกับ Ref. No ยืนยันอย่างดี ปัญหาก็น่าจะอยู่ที่การไฟฟ้า...เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยตามเรื่องต่อ...

วันพุธที่ ๑๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ประสบการณ์แผ่นดินไหวครั้งแรกในชีวิต

วันนี้... เวลาประมาณบ่ายสี่โมง พวกผมกำลังอยู่ในห้องประชุม ชั้น 21 ตึกอื้อจื่อเหลียง ก็มีคนเข้ามาแจ้งว่า...

เกิดแผ่นดินไหว... ให้ไปรวมตัวกันที่ลานสวนลุม... บัดเดี๋ยวนี้...

วูบแรก ไม่ใช่ตกใจครับ... แต่งง... เพราะไม่มีใครรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนใดๆ ทั้งสิ้น บางคน ถึงกับนึกในใจว่า... นี่มันรายการซ้อมรับสถานการณ์แบบเหมือนจริงรึเปล่าหว่า... และด้วยความที่ไม่ตกใจอะไรนี่เอง ทำให้ทุกๆ คน ค่อยๆ เดินลงบันไดหนีไฟกันไป เหมือนตอนซ้อมรับเหตุเพลิงไหม้...

ค่อยๆ เดิน กันจริงๆ ครับ หลายคนถึงกับเดินสวนกลับโต๊ะไปเอาข้าวของ, notebook, etc. ที่ชั้นตัวเองก่อน ค่อยไปบันไดหนีไฟ... (ค่อยๆ เดินเช่นกัน)

เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นถึงการใช้บันไดหนีไฟเพื่อรับเหตุการณ์จริงๆ ไม่ใ่ช่การซ้อม...

และก็เป็นครั้งแรกเช่นกันที่เห็นว่า... การซ้อมหนีไฟบ่อยๆ นั้น มีประโยชน์แค่ไหน... อย่างน้อย ก็ทำให้ทุกๆคนสามารถเดินลงบันไดหนีไฟกันได้อย่างเป็นธรรมชาติ ตามขั้นตอน ไม่ใช่รีบร้อนลนลานจนเหยียบกันตาย... หรือมีคนตกบันได บาดเจ็บ ซึ่งจะทำให้ภาพรวมทุกอย่างช้าไปกันใหญ่

พอลงมาถึงพื้นดิน... ก็ทยอยกันข้ามฟากไปสวนลุมทันที ไม่มัวยืนกีดขวางอยู่ใต้ตึก (แต่มีส่วนน้อยนะที่งงๆ อยู่ ถ้าตึกถล่มลงมาคงไม่รอด เสียดายที่อุตส่าห์เดินลงมาเป็นสิบชั้น

มารู้เอาตอนถึงพื้นแล้วว่า พวกชั้นสูงๆ ชั้น 30 ขึ้นไป ถึงจะได้เห็นฤทธิ์ของแผ่นดินไหว... ประมาณว่า กระจกสั่น ทั้งๆ ที่ศูนย์กลางของแผ่นดินไหวครั้งนี้อยู่ที่ชายแดน ลาว-พม่า เหนือเชียงรายขึ้นไปเกือบร้อยกิโล โดยมีความรุนแรงถึง 6.1 ริกเตอร์...

โชคดีจริงๆ ที่ไม่ได้เกิดในทะเลเหมือนคราวที่แล้ว... ไม่งั้นเราอาจจะต้องพบกับความน่ากลัวของสึนามิกันอีกครั้ง...

แต่อย่างน้อยๆ แผ่นดินไหวครั้งนี้ ก็เป็นสัญญาณเตือนแล้วว่า ประเทศไทยของเรา คงจะต้องเริ่มคิดรับมือภัยธรรมชาติรูปแบบนี้อย่างจริงจัง ... ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยเหมือนก่อน เพราะเห็นเป็นเรื่องไกลตัว

อ้างอิงจาก Manager Online

วันอาทิตย์ที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ทำไม ทะเลบางแห่ง ถึงได้ดูดคนเล่นน้ำออกไปสู่ทะเลลึก!

ได้มาจาก forward mail ครับ เลยขอเอามาอัพบล็อกแบบมีสาระนิดๆ

...

วันสองวันนี้คงจะได้ยินข่าวกันว่า มีเด็กจมน้ำตายที่หาดแม่รำพึง ระยอง อีกแล้ว

คนแถวนั้นบอกว่าทะเลแถวนั้นแปลก ชอบดูดคนลงทะเล แล้วได้ยินว่ามีตายกันทุกปี


พอดีไปอ่านเจอกระทู้ pantip มีคนมาอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ แล้วก็วิธีการเอาตัวรอดเมื่อโดนทะเลดูดไว้ด้วย เลยเรียบเรียงมาให้อ่านดูเผื่อใครยังไม่รู้




เมื่อคลื่นม้วนตัวกลับลงทะเลหลังจากซัดเข้ากระทบฝั่ง สันและเนินทรายต่างๆที่วางตัวเรียงอยู่ใต้พื้นน้ำจะเป็นอุปสรรคขวางไม่ให้น้ำไหลคืนลงทะเลได้สะดวก ทำให้น้ำจะไปไหลรวมกันย้อนลงทะเลที่ช่องรอยต่อระหว่างสันทราย เกิดเป็นกระแสดูดออกจากฝั่งที่เรียกว่า Rip Current กระแสน้ำที่เกิดขึ้นนี้อาจจะมีความเร็วได้ตั้งแต่ 0.5-2.5 เมตร/วินาที ขึ้นอยู่กับความแรงของคลื่น และสภาพพื้นทะเลใต้ผิวน้ำ

อันตรายของ Rip Current จะเกิดกับคนที่ไม่รู้วิธีรับมือกับมันเมื่อตกเข้าไปในกระแสของมัน เพราะธรรมชาติของคนเรามักจะว่ายน้ำสวนทวนกระแสของ Rip Current ซึ่งก็มักจะแพ้และหมดแรงต้านทานในที่สุด




เมื่อประสบกับ Rip Current จงอย่าว่ายสวน กระแส แต่ให้ว่ายไปในระนาบของชายฝั่ง ซึ่งเราจะหลุดพ้นจากกระแสได้ในที่สุด จากนั้นจึงค่อยว่ายเข้าฝั่งเมื่อรอดพ้นจากอิทธิพลของมัน

อุปสรรคใต้น้ำอย่าง แนวหินหรือแนวปะการังมักจะอยู่คงที่ และเจ้าหน้าที่สามารถบอกเตือนกันได้ แต่แนวสันทรายมักจะมีการเคลื่อนพังหรือก่อตัวขึ้นใหม่ ตามฤดูกาลและสภาพอากาศ ทำให้ยากแก่การระวังป้องกัน ดังนั้น หลังฝนตกหนัก หรือ ในช่วงวันที่คลื่นน้ำทะเลปั่นปวน มักจะมีผลให้ทรายตามชายหาดพังไหลย้อนลงไปตกตะกอนนอกแนวขอบชายฝั่งทะเล ซึ่งทรายเหล่านี้เองเป็นสันทรายใต้นำ้ที่ขัดขวางการไหลย้อนกลับของน้ำทะเลที่ถาโถมเข้าฝั่งด้วยอิทธิพลของคลื่น น้ำทะเลจำนวนมากถูกบังคับให้ไหลกลับออกไปในช่องเปิดของสันทราย และกลายเป็น Rip Current ที่ทรงอานุภาพพร้อมจะปลิดชีพของคนที่ไม่รู้จักมัน

เพราะฉะนั้น หลังฝนตกหนัก หรือ หลังจากวันที่ทะเลปั่นป่วน จงงดลงเล่นน้ำทะเลสักสองสามวัน เพราะหลังจากนั้นสันทรายทะเลที่เกิดขึ้นจะพังและทราย ก็จะถูกกอบขึ้นมากองบนหาดทรายตามเดิม



Credit : คุณกฤตยฎีกา ณ pantip.com


จาก

http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X5387788/X5387788.html
http://www.talaythai.com/
http://www.ripcurrents.noaa.gov/overview.shtml
http://en.wikipedia.org/wiki/Rip_current

วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ตู้โทรศัพท์ กับ กระบวนความคิด

ช่วงนี้กำลังสนใจในเรื่องของกระบวนความคิดแบบต่างๆ... แล้วก็ได้พบว่า ปกติแล้ว ในชีวิตประจำวันเนี่ย เรามีอาการ "มึน" กับความคิดของตัวเองเยอะมากๆ

มึนอยู่คนเดียว... อย่างมาก ก็เสียหายคนเดียว ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้กับใคร...

แต่ถ้ามึน... ถึงขนาด ถอนตัวไม่ขึ้น... ก็อาจจะก่อให้เกิดผลกระทบมากมายตามมา...

...

วันก่อน... ผมได้ข่าวเกิดการระเบิดตู้โทรศัพท์สาธารณะ ที่ซอย ราชวิถี 24 ซึ่งมารู้ภายหลังว่า เป็นการระเบิดแบบกวนเมือง เช่นเดียวกับการระเบิดที่เมเจอร์ รัชโยธิน ....

พร้อมๆ กับได้ข่าวว่า Action แรกที่มีต่อปัญหานี้ก็คือ.... การสั่งรื้อตู้โทรศัพท์ในจุดที่ไม่มีความจำเป็นทิ้ง...

... เพื่อป้องกันไม่ใ้ห้มีการวางระเบิดตู้โทรศัพท์ ... $%&*$%&????!!!!

วูบแรก...งงมาก... ครับ... กับแนวคิดนี้ ก็คงเหมือนกับหลายๆ คน ที่บอกว่า เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุมากๆ ... ระเบิดตู้ ก็รื้อตู้ (ที่ไม่จำเป็นทิ้ง เหลือไว้แต่ตู้สำคัญๆ ให้มันมาระเบิดกันแทน) อีกหน่อย ถ้ามันระเบิดห้องน้ำสาธารณะ ระเบิืดถังขยะ ระเบิดรถเมล์ เราคงไม่ต้องทำอะไรกินกัน นั่งรื้อนั่งแก้ปัญหากันไปวันๆ ทิ้งให้ตัวการนั่งมองอมยิ้ม แล้วคิดต่อว่า จะย้ายไประเบิดที่ไหนต่อดี...

พอเริ่มมีการวิจารณ์กับแนวคิดนี้มากขึ้น ว่า แก้ปัญหาปลายเหตุ เสียงบประมาณ ก็มีการแจกแจงว่า แค่บางตู้เท่านั้น .... และแนวคิดต่อยอดมาจากเรื่องราวนี้ก็เป็นว่า จะเพิ่มแสงสว่างในตู้โทรศัพท์ เปลี่ยนกระจกเป็นกระจกใส.... เรื่อยไป จนถึงว่า จะติด CCTV ในตู้โทรศัพท์.... โอ้ พระเจ้า จอร์จ....

ถ้ามันระเบิดห้องน้ำ มิต้ิองติด CCTV ในห้องน้ำด้วยเหรอครับท่าน...

เรามักจะสอนต่อๆ กัน ว่า ให้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ... แต่มักพบการแก้ปัญหาปลายเหตุบ่อยครั้งมากมาย...

หรือเพราะว่าเราขาดการวิเคราะห์ว่า ต้นตอของปัญหา จริงๆ แล้ว คืออะไรกันแน่.... คนวางระเบิด หรือตู้โทรศัพท์....

หรือลึกกว่านั้น.... อะไรทำให้เกิดแฟชั่นคนวางระเบิด.... จะได้ตามแก้ปัญหาถูกจุด...

เอาเวลาที่คอยเช็คคอยสั่งการรื้อตู้ มาระดมสมอง วิเคราะห์ปัญหา เอาเงินที่จะซื้อ CCTV มาเป็น budget ให้กับโปรเจคนี้.... พร้อมๆ กับเร่งตามจับคนร้าย.... ดีกว่ามั้ย...

หรือว่า... วัฒนธรรมคนไทย ต้องมี Action อะไรออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ไม่อย่างนั้นเดี๋ยวเค้าจะหาว่า ไม่ยอมทำอะไร ไม่มีผลงาน....

มัวแต่นั่งคิด ... ไม่ได้ ไม่มีผลงาน...

ประชุม... หาข้อมูล วิเคราะห์ทางแก้... ไม่ได้ ไม่มีผลงาน...

แต่... รื้อตู้... ติดวงจรปิด... โดนวิจารณ์หน่อย แต่ .... มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ทุกคนตื่นตัว... มีหน้าที่ที่จะต้องทำ.... ต้นเหตุของปัญหาถูกทิ้งไว้.... ไม่เป็นไร....

เหมือนกับ Do the thing right แต่ไม่ยอมที่จะ Do the right thing ซะที...

...เป็นแนวคิดนึงนะครับ....

วันพุธที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๐

ก้าวแรก...

เคยมั้ย...

เวลาที่เผลอพูดความหลังครั้งเก่า...

ทั้งทั้งที่คนเล่า... ก็ยังเล่าด้วยความสุข

ทั้งทั้งที่คนฟัง... ก็ยังฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

แต่สุดท้าย... เรื่องราวเหล่านั้น ก็ค่อยๆ เลือนหายไปกับเวลาที่ไม่เคยหยุดรอ...

บางคน... เลือกที่จะบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นไว้ในบันทึก... หรือไดอะรี่...

บางคน... ก็ใช้วิธีผูกความทรงจำไว้กับรูปถ่าย....

....

ผมเอง ก็เหมือนกัน ... ในฐานะของคนหนึ่งคน ที่กำลังเดินทาง เหมือนๆ กับทุกคน ... หากแต่รู้สึกว่า ตัวเอง มีเรื่องราวมากมายที่เก็บไว้ และไม่อยากที่จะให้เรื่องราวเหล่านั้น ลบเลือนหายไป....

ครั้งก่อน... ตั้งแต่สมัยเด็ก ... ผมติดที่จะเขียนบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นเอาไว้ในสมุดบันทึก... แต่เมื่อเวลาผ่านไป พอรู้สึกตัวเองอีกครั้ง ผมก็พบว่า สมุดบันทึก... ไม่ได้อยู่ข้างกายผมอีกต่อไป...

เสียดายนิดๆ ... เหมือนกัน ...

แต่ความจริงก็คือ... ผมยังคงมีเรื่องราวมากมายที่อยากบอกเล่า....

และหวังใจว่า...เรื่องราวเหล่านั้น... จะเป็นประโยชน์ต่อคนที่เข้ามาอ่าน ... ทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจเลยว่า... ใครกันนะ ที่จะเข้ามารับรู้เรื่องราวเหล่านี้....

.....

ยินดีต้อนรับครับ :)